วงจรชีวิตการพัฒนาซอฟต์แวร์


วงจรชีวิตการพัฒนาซอฟต์แวร์

วงจรชีวิตการพัฒนาซอฟต์แวร์
วงจรชีวิตการพัฒนาซอฟต์แวร์

วงจรชีวิตการพัฒนาซอฟต์แวร์มีหลายประเภท ซึ่งอาจทำให้สับสนได้ มีแบบจำลอง Spiral, Big Bang, Iterative model และ Tester ขั้นแรก

เรามาดูรายละเอียดแต่ขั้นตอนเหล่านี้กันก่อน โดยส่วนใหญ่จะใช้หลักการพื้นฐานเดียวกัน ขั้นตอนเหล่านี้มีความคล้ายคลึงกันตั้งแต่วิธีการไปจนถึงวิธีการ แต่มักจะดำเนินการตามลำดับนี้

ประเภทแบบจำลองการพัฒนาซอฟต์แวร์

ประเภทแบบจำลองการพัฒนาซอฟต์แวร์
ประเภทแบบจำลองการพัฒนาซอฟต์แวร์

Spiral:

แบบจำลอง Spiral แบ่งวงจรชีวิตการพัฒนาซอฟต์แวร์ทั้งหมดออกเป็นสี่ขั้นตอนที่แตกต่างกัน
1. ระบุวัตถุประสงค์และข้อจำกัด 
2. วิเคราะห์ทางเลือก รวมถึงการวิเคราะห์ความเสี่ยงซึ่งเกี่ยวข้องกับการจำลองและการสร้างต้นแบบ 
3. พัฒนาผลิตภัณฑ์ เมื่อระบุความเสี่ยงได้แล้ว ทีมพัฒนาจะเข้าสู่ขั้นตอนถัดไป
4. ทบทวนผลการทำซ้ำ วิศวกรซอฟต์แวร์ใช้แบบจำลองนี้สำหรับโครงการขนาดใหญ่และมีราคาแพง 

แบบจำลองดู Spiral จำนวนลูปขึ้นอยู่กับโปรเจ็กต์ แต่แต่ละลูปจะแสดงถึงขั้นตอนต่างๆ ของกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อจัดการความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น และมักใช้ในโปรเจกต์ใหญ่ๆ 

Big Bang:

การพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ Big Bang เป็นแนวทางง่ายๆ ในกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์แทนที่จะต้องวางแผนข้อกำหนดและเขียนข้อมูลก่อน ทีมจะเริ่มเขียนโค้ดทันที การใช้วิธีนี้จะเหมาะกับโปรเจกต์เล็กๆ ที่ต้องการการวางแผนเพียงเล็กน้อยและทรัพยากรจำนวนจำกัด

เนื่องจากให้ความสำคัญกับการเขียนโค้ดมากกว่าการวางแผน จึงดีที่สุดสำหรับโปรเจกต์ขนาดเล็กที่มีความต้องการน้อยและไม่มีกำหนดเวลาในการวางจำหน่าย 

Iterative model:

แบบจำลองวงจรชีวิตการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ Iterative model ประกอบด้วยสามขั้นตอน: 

  1. การวางแผนและการออกแบบ ในระหว่างขั้นตอนการวางแผน ทีมพัฒนาจะระบุตรรกะทางธุรกิจและโมเดลฐานข้อมูลเพื่อสนับสนุนเป้าหมายและฟีเจอร์ต่างๆ 
  2. ขั้นตอนการออกแบบจะระบุข้อกำหนดทางเทคนิคสำหรับผลิตภัณฑ์ 
  3. ขั้นตอนที่สามคือการเริ่มเขียนโค้ด

Iterative model ใช้เวลาในการจัดทำเอกสารน้อยกว่า แต่ใช้เวลาออกแบบมากกว่า แม้ว่าข้อกำหนดของระบบทั้งหมดจะถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน แต่รายละเอียดบางอย่างอาจเปลี่ยนแปลงได้ ตัวอย่างเช่น ซอฟต์แวร์อาจต้องมีการจัดการความเสี่ยงจำนวนมาก ซึ่งจะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณสมบัติสูง จึงเป็นข้อเสียที่ทำให้ใช้ทรัพยากรมากกว่า

Tester:

ในระหว่างขั้นตอนการทดสอบของวงจรชีวิตการพัฒนาซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชันจะได้รับการทดสอบเพื่อหาจุดบกพร่องและประสบการณ์ของผู้ใช้ปลายทางหากพบปัญหาก็จะแก้ไขและทดสอบใหม่อีกครั้ง วัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์ความต้องการคือเพื่อให้แน่ใจว่าแอปพลิเคชันทำงานตามที่ลูกค้าคาดหวัง 

ถัดไปขั้นตอนการดำเนินงานและการบำรุงรักษามีความสำคัญต่อวงจรชีวิตการพัฒนาซอฟต์แวร์ ขั้นตอนนี้มีหน้าที่รับผิดชอบในการทดสอบโค้ดที่พัฒนาแล้วและข้อบกพร่องในการบันทึก โดยการทดสอบดำเนินต่อไปจนกว่าซอฟต์แวร์จะพร้อมสำหรับการผลิต เมื่อลูกค้าอนุมัติผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายแล้ว นักพัฒนาจะย้ายไปยังการผลิต ซึ่งซอฟต์แวร์จะเข้าสู่กระบวนการบำรุงรักษาและแก้ไขข้อบกพร่องอย่างต่อเนื่อง 

วงจรชีวิตการพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDLC):

วงจรชีวิตการพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDLC):
วงจรชีวิตการพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDLC):
วงจรชีวิตการพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDLC):
วงจรชีวิตการพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDLC):

Requirement Analysis:

ส่วนสำคัญของการพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยปกติแล้วเมื่อเริ่มต้นสร้างผลิตภัณฑ์ ลูกค้ามักจะไม่มีภาพที่ชัดเจนว่าต้องการสร้างระบบอย่างไร ดังนั้นจึงทำให้ไม่มีแนวทางที่ชัดเจน นักพัฒนาที่มีประสบการณ์จะยืนยัน/แนะนำ/แก้ไขให้มีข้อกำหนดพื้นฐานเบื้องต้นที่สมบูรณ์

Design (ออกแบบ):

ระบบซอฟต์แวร์จะต้องตอบสนองความต้องการของผลิตภัณฑ์ได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งต้องมั่นใจว่าสามารถระบุความต้องการในอนาคตได้ นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับการสื่อสารระหว่างระบบซอฟต์แวร์และผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์อื่นๆ ตลอดจนฮาร์ดแวร์พื้นฐานหรือระบบปฏิบัติการโฮสต์

วงจรชีวิตการพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDLC):
วงจรชีวิตการพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDLC):

Implementation (การดำเนินการ):

การออกแบบก่อนหน้านี้ต้องได้รับการแปลโดยโปรแกรมเมอร์เป็นรูปแบบที่คอมพิวเตอร์อ่านและเข้าใจได้ หากออกแบบได้ละเอียดและครบถ้วนแล้ว การเขียนโค้ดในขั้นตอนนี้จะง่ายมาก ในทางตรงกันข้าม หากการออกแบบระบบก่อนหน้านี้ยังไม่เรียบร้อย จะลำบากมากที่จะทำขั้นตอนต่อไปและอาจจะแก้ไขได้ยาก

Deployment (การปรับใช้):

หลังจากทีมทดสอบทำงานเสร็จสิ้น มั่นใจว่าจะสามารถใช้งานได้ จากนั้นถึงจะนำไปพัฒนาต่อได้

วงจรชีวิตการพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDLC):
วงจรชีวิตการพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDLC):

Testing (การทดสอบ):

หลังจากที่โปรแกรมเมอร์ทำการใส่โค้ดเสร็จแล้ว ทีมทดสอบก็เริ่มทำงานโดยใช้วิธีการทดสอบที่แตกต่างกันเพื่อตรวจหาข้อผิดพลาดในระบบ ในขั้นตอนนี้ เครื่องมือทดสอบอัตโนมัติ เครื่องมือสนับสนุนจะถูกใช้เพื่อตรวจหาข้อผิดพลาดด้วย เพื่อให้ทีมพัฒนาสามารถแก้ไขได้ทันท่วงทีก่อนที่จะถึงมือผู้ใช้ปลายทาง นอกจากนี้ ขณะนี้มีหลายบริษัทที่สร้างเครื่องมือทดสอบของตนเองเพื่อรองรับกิจกรรมการพัฒนาของตน

Maintenance (การซ่อมบำรุง):

การบำรุงรักษาและอัปเกรดซอฟต์แวร์เพื่อตอบสนองต่อปัญหาที่เจอ หรือข้อกำหนดใหม่ ดังนั้นอาจใช้เวลานานกว่าเดิมเพื่อัพเดทข้อมูล

หากคุณกำลังมองหานักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมกับโปรเจกต์ของคุณ Astra Studio มีบริการด้านซอฟต์แวร์ ที่สามารถให้บริการที่เหมาะสมกับโปรเจกต์ของคุณด้วยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ คุณสามารถนัดเวลาเพื่อพูดคุยกับเราได้ฟรี!

อย่าลืมกดติดตามช่องทางต่างๆ ของเราเพื่อรับข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมกันนะ
บริการของเรา >> บริการ Astra studio 
Medium: Medium Astra Studio
Website: Astra Studio


Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *